ผลสำรวจเกษตรกรไทยส่วนใหญ่ไม่รู้จัก FTA แต่เห็นว่าการค้าขายกับต่างประเทศมีความจำเป็น ข่าวจากหนังสือพิมพ์ไทยนิวส์ ฉบับวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2553 ปีที่ 40 ฉบับที่14,871
ศูนย์วิจัยวิจัยเศรษฐกิจและพยากรณ์ทางการเกษตร โดยแม่โจ้โพลล์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นในหัวข้อ “FTA ในความเข้าใจของเกษตรกร” โดยสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างจากเกษตรกรทั่วประเทศ จำนวน ๙๑๑ คน ระหว่างวันที่ ๑๒ – ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๒
"เกษตรกรไทย 77.6 % ไม่รู้จัก FTA แต่ 85.4 % บอกการค้าขายกับต่างประเทศมีความจำเป็น และ 75.0 % ยังต้องการให้บุตรหลานสืบทอดอาชีพทางการเกษตร ซึ่งเป็นอาชีพหลักของคนไทยและจะได้นำความรู้มาช่วยในการพัฒนาการเกษตรให้ดีขึ้น"
อาชีพเกษตรกรรม ถือเป็นอาชีพดั้งเดิมของคนในประเทศไทย ซึ่งในแต่ละปีการส่งออกสินค้าเกษตรนั้นช่วยสร้างรายได้เข้าประเทศปีละมหาศาล โดยที่ผ่านมาการเกษตรของประเทศไทยได้มีการพัฒนามาตลอด ทั้งด้านเทคโนโลยีเพื่อช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุนการผลิต การเพิ่มประสิทธิภาพทางการตลาดทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนใช้มาตรการเสริมต่างๆของรัฐ เช่น การประกันรายได้ให้กับเกษตรกรเพื่อให้อาชีพเกษตรกรรมเป็นอาชีพที่คู่กับคนไทยและสร้างรายได้ให้กับประเทศต่อไป ดังนั้นศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและพยากรณ์ทางการเกษตรโดยแม่โจ้โพลล์ จึงสำรวจความคิดเห็นเกษตรกรทั่วประเทศ เกี่ยวกับการประกอบอาชีพในประเด็นการติดตามข่าวสารทางการเกษตรและปัญหาของเกษตรกรที่ประสบในปัจจุบัน จำนวน 911 คน ประกอบอาชีพด้านปลูกพืช 66.7 % ประมง 7.6 % และปศุสัตว์ 25.7 %ใน วันที่12-23ธ.ค.52 สรุปผลได้ดังนี้
1. ท่านได้ติดตามข่าวสารทางการเกษตรหรือไม่
ก. ติดตาม 78.9 % จากสื่อ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ วารสารทางการเกษตร วิทยุและจากส่วนราชการต่างๆ
ข.ไม่ได้ติดตาม 21.1 %
2. จากการติดตามข่าวสารท่านได้นำมาประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพทางการเกษตรหรือไม่
ก.นำมาใช้ 80.3 % เพราะทำให้ทราบวิธีการผลิต เพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ตลอดจนข่าวสารด้านนโยบายของภาครัฐ เพื่อนำมาใช้ในการวางแผนการผลิตและนำไปเผยแพร่ให้สมาชิกเกษตรกรด้วยกัน
ข.ไม่ได้นำมาใช้ 19.7 % เพราะ มีวิธีการยุ่งยาก ขาดอุปกรณ์และต้องใช้ต้นทุนในการผลิตสูง นอกจากนี้ก็เป็นเพียงการติดตามข่าวด้านตลาดหรือราคาเท่านั้น
3. ท่านรู้จัก FTA หรือไม่
ก. รู้จัก 22.4 %
ข. ไม่รู้จัก 77.6 %
4. ท่านคิดว่าจำเป็นที่จะต้องมีการค้าขายกับต่างประเทศหรือไม่
ก. จำเป็น 85.4 % เพราะผลผลิตภายในประเทศมีมาก ต้องมีการส่งออกสินค้าเพื่อสร้างรายได้ให้กับประเทศและยังเป็นการนำเข้าสินค้าที่ประเทศไทยไม่สามารถผลิตเองได้
ข.ไม่จำเป็น 13.9 % เพราะการผลผลิตบางชนิดก็เพียงพอในการใช้ภายในประเทศและบางชนิดก็มีการผลิตได้ในปริมาณน้อยไม่เพียงพอต่อการส่งออก
ค.ไม่มีความเห็น 0.7 %
5. จากสภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยในปัจจุบัน คิดว่าอนาคตการเกษตรไทยจะเป็นอย่างไร
ก. ดีขึ้น 39.2 % เพราะมีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้พัฒนาด้านการผลิตมากขึ้น ตลอดจนได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานของภาครัฐที่ทำให้แนวโน้มราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้น
ข. เหมือนเดิม 31.8 %
ค. แย่ลง 29.0 % เพราะ ขาดการสนับสนุนจากภาครัฐ ประกอบกับผลจากปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง ส่งผลทำให้ราคาผลผลิตทางการเกษตรไม่แน่นอนเกษตรกรมีรายได้น้อย เป็นหนี้สินและปัญหาสภาพภัยธรรมชาติต่างๆ
6. ท่านคิดว่าปัจจุบันเกษตรกรไทยประสบปัญหาทางการเกษตรอะไรมากที่สุด
ก. ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ถูกกดราคาจากลุ่มพ่อค้าคนกลางทำให้ราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ เกษตรกรมีรายได้น้อย 51.3 %
ข. ปัญหาโรคระบาดและศัตรูพืชรบกวน การใช้สารเคมีทำให้ดินเสื่อมสภาพและปัญหาภัยธรรมชาติ น้ำท่วม ฝนแล้งทำให้ผลผลิตตกต่ำ 26.9 %
ค. ปัญหาการตลาด 11.9 %
ง. ปัญหาการขาดการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างจริงจัง 3.2 %
จ. ไม่มีความเห็น 6.7 %
7. ท่านคิดว่าควรมีการแก้ไขปัญหานั้นอย่างไร
ก. รัฐบาลควรมีนโยบายและมาตรการต่างๆออกสนับสนุนเกษตรกรอย่างจริงจัง ทั้งด้าน ปัจจัยการผลิต การประกันราคา 38.2 %
ข. ควรให้ความรู้ด้านการตลาดให้แก่เกษตรกร พร้อมทั้งช่วยเหลือด้านการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ 16.8 %
ค. ช่วยด้านการลดต้นทุนในการผลิตและส่งเสริมให้หันมาใช้วิธีการผลิตทางธรรมชาติ 16.0 %
ง. อื่นๆ 13.7 %
จ.ไม่มีความเห็น 15.3 %
8. ท่านต้องการให้บุตร หลานของท่าน เรียนต่อสาขาวิชาด้านการเกษตรหรือไม่
ก. ต้องการ 75.0 % เพราะ ได้นำความรู้มาช่วยในการพัฒนาการเกษตรให้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการสืบทอดกิจการของ ครอบครัวและช่วยสร้างรายได้ให้กับประเทศ
ข. ไม่ต้องการ 21.2 % เป็นอาชีพที่มีความลำบากและการผลิตต้องพึ่งพาธรรมชาติ ได้รับผลตอบแทนน้อย
ค. ไม่มีความเห็น 3.8 %
ปัจจุบันสินค้าทางด้านการเกษตรของประเทศ จำเป็นจะต้องพึ่งพาตลาดต่างประเทศ ไม่ว่าจะเอเชียด้วยกันเอง ตลาดยุโรป อเมริกา หรือแม้กระทั่งตะวันออกกลาง ตลาดต่าง ๆ เหล่านี้ต้องการสินค้าทางด้านการเกษตร เพื่อใช้ในการดำรงชีวิตประจำวัน สินค้าทางด้านการเกษตรของประเทศไทยเมื่อนำไปวางจำหน่ายยังต่างประเทศราคาจะแพงกว่าการจำหน่ายในประเทศมาก และแน่นอนคุณภาพของสินค้าจะต้องได้คุณภาพตามมาตรฐานของแต่ละประเทศกำหนด เมื่อประเทศไทยได้ทำข้อตกลงว่าด้วยการค้าเสรีแล้ว เกษตรกรไทยหรือผู้ประกอบการ ต้องศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับกฎเกณฑ์กติกาต่าง ๆ ของแต่ละประเทศ ต้องรู้จักการรวมกลุ่มของผู้ผลิตเพื่อให้ได้ปริมาณสินค้าที่พอเพียง ต้องควบคุมคุณภาพของสินค้า ต้องคำนึงและตระหนักถึงสารเคมีตกค้างในสินค้า ต้องลดต้นทุนปัจจัยการผลิตสินค้าให้สามารถแข่งขันกับแหล่งผลิตเพื่อนบ้าน ต้องเพิ่มปริมาณผลผลิตให้คุ้มทุน ต้องพึงพาองค์กรท้องถิ่น แหล่งทุนสนับสนุน และต้องประสานหน่วยงานภาคเอกชนและภาครัฐที่เกี่ยวข้อง
สิ่งต่าง ๆ ที่กล่าวมาในข้างต้น เกษตรกรไทยจึงจะสามารถประกอบอาชีพทางการเกษตรได้อย่างยั่งยืน และบูรณาการ สามารถทำให้ครอบครัวมีฐานนะดีขึ้น เศรษฐกิจท้องถิ่นเจริญ และนำพาเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาและเจริญรุ่งเรืองต่อไป
ท่านผู้อ่านท่านใดสนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและพยากรณ์ทางการเกษตร คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ โทร. 053-375615-6 , 053-875661 ในวันและเวลาราชการ
นำเสนอข่าวโดย
ฝ่ายส่งเสริมการเกษตร สำนักวิจัยและส่งเสริมวิชาการการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ โทร. 053-873938-9