ภาวะน้ำวิกฤต แม่โจ้คิดการให้น้ำไม้ผลอย่างประหยัด ข่าวจากหนังสือพิมพ์ไทยนิวส์ ฉบับวันที่ 12 มีนาคม 2553 ปีที่ 40 ฉบับที่14,406
สภาวะโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดภาวะวิกฤตภัยพิบัติทางธรรมชาติหลากหลายและรุนแรง ทำให้ผู้คนล้มตาย บ้านเรือน สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ สูญเสียเป็นจำนวนมากมายมหาศาล ภัยจากแผ่นดินไหว พายุหิมะถล่ม พายุฝนฟ้าคะนอง น้ำท่วมในประเทศต่าง ๆ ทวีปยุโรป อเมริกา ออสเตเรีย แม้แต่เอเชียของเราก็หนีไม่พ้น ถึงแม้ประเทศไทยจะไม่ประสบกับภัยพิบัติทางธรรมชาติอันเลวร้ายที่กล่าวมาข้างต้น แต่ประเทศไทยเราก็พบกับปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภค บริโภค ที่กล่าวกันว่าภัยแล้ง น้ำเป็นปัจจัยหลักในการดำรงชีวิตของคน สัตว์ พืช และระบบนิเวศน์วิทยา น้ำมาจากธรรมชาติ มีได้ก็หมดได้ หลาย ๆ ประเทศมีกฎเกณฑ์กติกาควบคุมการใช้น้ำของประชาชนตัวเอง เพื่อให้ใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ถึงเวลาแล้วที่ประชาชนคนไทยหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องคิดและตระหนักในการควบคุม ดูแลใช้ทรัพยากรน้ำอย่างประหยัดและมีคุณค่าสูงสุด การใช้วัสดุคลุมดินในการปลูกพืชมีความสำคัญและมีประโยชน์ นอกจากจะเพิ่มปริมาณอินทรีย์วัตถุให้กับดินแล้ว ยังป้องกันวัชพืชต่าง ๆ ไม่ให้งอกและที่สำคัญคือสามารถป้องกันการระเหยของน้ำจากผิวดินได้เป็นอย่างดี เกษตรกรที่ปลูกไม้ผลในช่วงนี้ เช่น มะม่วง ลำไย ลิ้นจี่ กำลังติดผลต้องการน้ำในการเจริญเติบโตของผลอย่างมาก แต่น้ำในห้วยหนอง คลอง บึง กลับไม่มีน้ำอยู่เลย ถึงมีก็น้อยมากจำเป็นอย่างยิ่งที่เกษตรกรต้องมีวิธีการให้น้ำอย่างประหยัด เพื่อที่จะผ่านหรือฝ่าวิกฤติน้ำในช่วงนี้ไปให้ได้
ปัจจุบันเกษตรกรได้ขยายพื้นที่ปลูกไม้ผลสู่ที่ดอนและพื้นที่ไหล่เขาหรือเนินเขามากขึ้น ในพื้นที่แบบนี้หาน้ำได้ยากกว่าในที่ลุ่ม นอกจากนี้แรงงานยังขาดแคลนและค่าแรงแพงขึ้น เกษตรกรผู้ปลูกไม้ผลจำนวนมากจึงนิยมวิธีการให้น้ำชลประทานทางท่อโดยระบบสปริงเกลอร์หรือระบบน้ำหยด นอกจากประหยัดทั้งน้ำและแรงงานแล้ว การให้น้ำชลประทานทางท่อทำให้สามารถให้ปุ๋ยเคมีไปพร้อมกับการให้น้ำ
ปัจจุบันมีสวนองุ่นในออสเตรเลียและอเมริกาใช้เทคนิค “การให้น้ำแบบสลับข้างทีละครึ่งต้น” การให้น้ำโดยเทคนิคนี้ใช้น้ำเพียงประมาณครึ่งหนึ่งของการให้น้ำเต็มพื้นที่ทรงพุ่มโดยไม่มีผลต่อปริมาณผลผลิต และยังทำให้คุณภาพผลผลิตองุ่นดีขึ้นด้วย มีรายงานผลจากการทดลองในออสเตรเลียว่า เมื่อเปลี่ยนวิธีให้น้ำจากการปล่อยน้ำไปตามร่องระหว่างแถวของต้นองุ่นเป็นวิธีให้น้ำด้วยระบบน้ำหยด ทำให้ประหยัดน้ำได้ถึงครึ่งหนึ่ง และเมื่อใช้เทคนิค “การให้น้ำแบบสลับข้างทีละครึ่งต้น” ในระบบน้ำหยด ก็สามารถประหยัดได้อีกครึ่งหนึ่ง คือใช้น้ำเพียง 1 ใน 4 ของการให้น้ำแบบดั้งเดิม โดยทำให้ผลผลิตลดลงไม่เกิน 5 % แต่ผลผลิตมีคุณภาพดีขึ้น
หลักการของเทคนิค “การให้น้ำแบบสลับข้างทีละครึ่งต้น” คือการให้น้ำทีละครึ่งหนึ่งของพื้นที่ใต้ทรงพุ่ม ด้วยความถี่ของการให้น้ำตามปรกติ เช่น 3-5 วัน/ครั้ง และปล่อยให้อีกครึ่งของ
พื้นที่แห้ง เมื่อดินในครึ่งที่แห้งใกล้แห้งสนิท ก็สลับข้างให้น้ำ ซึ่งโดยปรกติสลับข้างให้น้ำเช่นนี้ทุกระยะ 12-15 วัน เมื่อมีรากส่วนหนึ่งอยู่ในดินแห้งพืชจึงเหมือนถูกหลอกว่ากำลังอยู่ในภาวะแห้งแล้ง พืชจึงต้องลดการคายน้ำ ทำให้น้ำที่พืชได้รับเพียงประมาณครึ่งหนึ่งจากพื้นที่ด้านเปียกเพียงพอให้พืชเติบโตและให้ผลผลิตใกล้เคียงกับที่ได้รับน้ำตามความต้องการปรกติ จุดอ่อนของเทคนิค “การให้น้ำแบบสลับข้างทีละครึ่งต้น” คือในระยะที่ครึ่งหนึ่งของระบบรากอยู่ในดินแห้ง รากจะดูดกินปุ๋ยได้ยาก เพื่อแก้จุดอ่อนนี้จึงต้องให้ปุ๋ยผ่านระบบสปริงเกอร์หรือระบบน้ำหยด ที่เป็นวิธีให้ปุ๋ยทีละน้อยแต่ให้บ่อยและกระจายอย่างสม่ำเสมอทั่วบริเวณที่ได้รับน้ำ การให้ปุ๋ยแบบนี้ทำให้ปุ๋ยแพร่กระจายสัมผัสระบบรากมากที่สุด ปุ๋ยเคมีมาตรฐานสำหรับการให้ผ่านระบบให้น้ำมีราคาแพงกว่าปุ๋ยทางดินทั่วไป 2-3 เท่า
จากการทดลองในสวนเกษตรกร 2 สวน ที่เป็นดินร่วนและดินทรายที่จังหวัดลำพูนเป็นเวลา 3 ปี พบว่าต้นลำไยที่ได้รับน้ำตามเทคนิค “การให้น้ำแบบสลับข้างทีละครึ่งต้น” ซึ่งใช้น้ำเพียง 67 % มีปริมาณผลผลิตของใกล้เคียงกับต้นลำไยที่ได้รับน้ำ 100 % ของการให้น้ำตามวิธีมาตรฐาน โดยที่คุณภาพผลผลิต ได้แก่ ขนาดผล ความหนาเนื้อ ความหนาเปลือก และความหวาน ไม่แตกต่างกัน วิธีการให้น้ำโดยเทคนิค “การให้น้ำแบบสลับข้างทีละครึ่งต้น” นี้ นอกจากทดลองได้ผลดีกับลำไยแล้ว นักวิจัยของเยอรมันยังได้ทดลองที่เชียงใหม่ พบว่าใช้ได้ผลดีกับมะม่วงด้วย
ใบลำไยที่ถูกตัดแต่งกิ่ง มีธาตุอาหารไนโตรเจน ฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมอยู่ 9-30 % ของความต้องการธาตุอาหารของต้นลำไย เมื่อถูกทิ้งให้คลุมดินอยู่ใต้ทรงพุ่ม ใบลำไยจะสลายตัวได้เร็วช้าต่างกันตามวิธีการให้น้ำ การให้น้ำด้วย สปริงเกลอร์ทำให้ใบเหล่านี้สลายตัวได้มากถึง 68 % ในเวลา 1 ปีต้นลำไยจะดูดธาตุอาหารได้ระหว่าง 54-94 % ซึ่งมากกว่าการให้น้ำแบบปล่อยน้ำขังในคันดินรอบพื้นที่ทรงพุ่ม ทั้งนี้น่าจะเนื่องจากความถี่ของการให้น้ำและการเปียกของใบเหล่านี้จากวิธีการให้น้ำที่ต่างกัน
เมื่อประเมินความคุ้มค่าจากเทคนิค “การให้น้ำแบบสลับข้างทีละครึ่งต้น” ในพื้นที่ดอนในภาคเหนือทั่วไป พบว่าการประหยัดน้ำ 33 % นั้น ลดต้นทุนค่าไฟฟ้าในการสูบน้ำได้ 2.12 % ของมูลค่าผลผลิต แต่ถ้าเป็นสวนผลไม้ในภาคตะวันออก ในปีที่เกิดภาวะฝนแล้งในเดือนมีนาคม - เมษายน การให้น้ำวิธีนี้จะประหยัดน้ำได้ 33 % โดยเทคนิค “การให้น้ำแบบสลับข้างทีละครึ่งต้น” สามารถลดต้นทุนการผลิตลำไยได้ถึง 11.66 % ของมูลค่าผลผลิต
จากผลการวิจัยดังกล่าว รองศาสตราจารย์สมชาย องค์ประเสริฐและคณะได้ให้คำแนะนำแก่เกษตรกร ไว้ดังนี้
1. ในกรณีที่มีระบบให้น้ำแบบสปริงเกลอร์อยู่แล้ว ควรให้ปุ๋ยผ่านระบบให้น้ำโดยใช้ปุ๋ยเคมีที่ให้ทางดินธรรมดา คือใช้ปุ๋ยยูเรียหรือปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟตเป็นแม่ปุ๋ยไนโตรเจน และปุ๋ย
โพแทสเซียมคลอไรด์หรือโพแทสเซียมซัลเฟตทางระบบให้น้ำควบคู่กับการให้ปุ๋ยซูเปอร์ฟอสเฟตทางดิน แทนปุ๋ยเคมีมาตรฐานของการให้ปุ๋ยผ่านระบบให้น้ำ ซึ่งแพงกว่า 2-3 เท่า โดยให้ในอัตรา 1.5 เท่าของความต้องการธาตุอาหารรายปี
2. การให้ปุ๋ยผ่านระบบให้น้ำแบบสปริงเกลอร์ ช่วยให้ปุ๋ยกระจายอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่โคนต้นจนถึงขอบทรงพุ่ม มีผลให้ระบบรากพัฒนาอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่โคนต้นจนถึงขอบทรงพุ่มเช่นกัน เมื่อมีระบบการให้น้ำแบบสปริงเกลอร์ เกษตรกรจึงควรพิจารณาหาความรู้เพิ่มเติมและจัดการให้ปุ๋ยผ่านระบบให้น้ำ
3. ในสวนที่มีน้ำต้นทุนจำกัด เจ้าของสวนผลไม้จำเป็นต้องบริหารจัดการการใช้น้ำที่มีในสวนในฤดูแล้งให้เพียงพอใช้ตลอดระยะ 4-5 เดือน การประหยัดน้ำในช่วงต้นฤดูแล้งด้วยเทคนิค “การให้น้ำแบบสลับข้างทีละครึ่งต้น” จะช่วยลดความเสี่ยงในการขาดแคลนน้ำในช่วงปลายฤดูแล้งได้
4. การปลูกต้นลำไยจากกิ่งตอนอาจจะมีข้อดีที่กิ่งพันธุ์ราคาถูก แต่งานศึกษาระบบรากในครั้งนี้แสดงให้เห็นชัดว่าต้นลำไยจากกิ่งพันธุ์เสียบยอดมีระบบรากที่หนาแน่นกว่าและลงลึกกว่าต้นที่ปลูกจากกิ่งตอนมาก เพื่อประโยชน์ในระยะยาว เกษตรกรจึงควรพิจารณาปลูกต้นลำไยจากกิ่งเสียบยอด
5. ใบที่ได้จากการตัดแต่งกิ่งมีคุณค่าที่เกษตรกรควรจะจัดการให้เป็นประโยชน์ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง แทนการเผาทิ้งตามความเคยชิน การจัดการอย่างง่ายที่สุดคือการปล่อยทิ้งไว้คลุมพื้นที่ใต้ต้นลำไย
เกษตรกรหรือท่านผู้อ่านท่านใด ต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่
รองศาสตราจารย์สมชาย องค์ประเสริฐ โทรศัพท์ 053-873470 ต่อ108 ในวันและเวลาราชการ
นำเสนอข่าวโดย
ฝ่ายส่งเสริมการเกษตร สำนักวิจัยและส่งเสริมวิชาการการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ โทร. 053-873938-9