แม่โจ้โพลล์สำรวจเกษตรกรผู้ปลูกส้ม
ปลายเดือน ตุลาคม เริ่มเข้าสู่ฤดูกาลน้ำหลาก หรือน้ำนองเต็มตลิ่ง จะเห็นได้ว่าหลายจังหวัดมีเทศกาลแข่งเรือ และจะเข้าสู่เทศกาลลอยกระทง ในเดือนพฤศจิกายน คือวันเพ็ญเดือนสิบสอง หลายจังหวัดที่อยู่ในพื้นที่ลุ่ม ก็ต้องผจญกับปัญหาท่วมกันอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จังหวัดอยุธยา นนทบุรี ประทุมธานี และ กรุงเทพมหานคร ส่วนพื้นที่ทางภาคเหนือของเราฝนก็เริ่มจะเบาบางลง ตอนเช้าเริ่มจะมองเห็นหมอกบ้างแล้วในบางพื้นที่ อุณหภูมิเริ่มลดลงในเวลากลางคืน และเวลากลางวันเริ่มสั้นลง กลางคืนยาวนานขึ้น คือมืดเร็วและสว่างช้า การเปลี่ยนฤดูกาลจากฤดูฝนก็เริ่มจะเข้าสู่ฤดูหนาว ไม้ผลหลายชนิดเริ่มจะสะสมอาหารเพื่อเตรียมที่จะออกดอกติดผล เนื่องจากอุณหภูมิหนาวเย็นกระตุ้นให้ไม้ผลออกดอก โดยจะเรียงลำดับไปตั้งแต่ มะปราง มะม่วง ลิ้นจี่ และลำไย เกษตรกรผู้ปลูกไม้ผลจะต้องเตรียมพร้อมที่จะปฏิบัติดูแลรักษาไม้ผลของท่านให้สมบูรณ์แข็งแรง แล้วท่านจะประสบความสำเร็จ ในการผลิตไม้ผลให้ได้ปริมาณ และคุณภาพ เพราะปีนี้ราคาจะแพง ในสัปดาห์นี้จะพูดถึงโรค และแมลงศัตรูของมะม่วง ช่วงใกล้ออกดอก
โรคแอนแทรกโนส ช่วงมะม่วงแทงช่อดอกจะพบอาการจุดสีน้ำตาลดำบนก้านช่อดอก จะส่งผลให้ดอกเหี่ยวและหลุดร่วงไป ทำให้มะม่วงติดผลน้อยถ้าเป็นไม่มาก แต่ถ้าเกิดรุนแรงผลจะหลุดร่วงไปหมดเหลือแต่ก้านดอก ทำให้ผลผลิตเสียหายหมดเลย
การป้องกันกำจัด
ขณะมะม่วงเริ่มแทงช่อดอกหรือก่อนแทงช่อดอกประมาณปลายเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคมสำหรับภาคเหนือตอนบน ควรพ่นสารเคมีป้องกันโรคและแมลง ศัตรูมะม่วง โดยใช้เบนโนมิล หรือ คาร์เบนดาซิมผสมกับยาฆ่าแมลง ไซเปอร์เมททิล
เพลี้ยจั๊กจั่นมะม่วงหรือแมลงกะอ้าทำลายช่อมะม่วงทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัย ดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบอ่อนและช่อดอกตั้งแต่เริ่มแทงช่อดอก ทำให้ช่อดอกและดอกแห้งร่วงหล่น หรือทำให้ผลอ่อนร่วงก่อนจะโตเต็มที่ นอกจากนั้นมันยังขับถ่ายของเสียออกจากตัว มีลักษณะเหนียวและหว่านตามยอดอ่อนและช่อดอกเป็นอาหารของราดำและมดต่างๆ ปกคลุมตามใบอ่อนและช่อดอก ใครอย่าได้เอารถไปจอดใต้ต้นมะม่วงช่วงเด็ดขาดนี้ นอกจากจะล้างออกยากแล้ว ยังทำให้สีรถท่านเกิดรอยด่าง ๆ ได้
เพลี้ยจั๊กจั่นช่อมะม่วงที่พบการระบาดและทำความเสียหายแก่มะม่วงมีอยู่ด้วยกัน 8 ชนิด ลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่จะแตกต่างกันที่ขนาดของลำตัว โดยทั่วไปลำตัวจะมีขนาด 3-4 มิลลิเมตร ส่วนหัวปานและส่วนตัวเรียวเล็กน้อย ปีกจะมีสีเทาปนน้ำตาล ตัวเมียที่โตเต็มวัยจะวางไข่เรียงกันตามแกนกลางของใบ แกนกลางของช่อดอก ซึ่งยังอ่อนๆ อยู่ ไข่มีสีเหลืองอ่อน รูปร่างบางรี ฟักเป็นตัวอ่อนภายใน 7-10 วัน ตัวอ่อนมีการลอกคราบ 4 ครั้ง ใช้เวลาประมาณ 17-19 วัน จึงจะเจริญเป็นตัวเต็มวัย ทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยมีขาคู่หลังแข็งแรง สามารถกระโดดได้คล่องแคล่วและรวดเร็ว
เพลี้ยจักจั่นช่อมะม่วงที่ระบาดในภาคเหนือได้แก่ เพลี้ยจักจั่นมะม่วงนักเปอร์ และเพลี้ยจั๊กจั่นมะม่วงปากดำ มักจะชอบเข้าทำลายและดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบอ่อนและช่อดอกมะม่วงเกือบทุกชนิด แต่จะพบมากและระบาดในมะม่วงเขียวเสวย มะม่วงน้ำดอกไม้ ส่วนพันธุ์อื่นๆ รองลงมาและจะไม่ค่อยทำลายในมุม่วงป่าซึ่งมีกลิ่นชุน ถ้าไม่มีการป้องกันกำจัดได้ทันเวลาจะทำให้มะม่วงไม่ติดลูก เหลือแต่ช่อเปล่า โดยทั่วไปเพลี้ยจักจั่นช่อมะม่วงมีศัตรูธรรมชาติเหมือนกัน คือ มวนเพชฌฆาต จะเจาะและดูดทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยของเพลี้ยจักจั่น แต่ในปัจจุบันมีการใช้ยาฆ่าแมลงตามสวนต่างๆ อย่างมากมายและต่อเนื่อง เป็นสาเหตุที่ทำให้ศัตรูธรรมชาติตายและหายไป ทำให้เพลี้ยจั๊กจั่นช่อมะม่วงระบาดและทำลายดอกมะม่วง เป็นศัตรูตัวร้ายกาจของมะม่วงในทุก ๆ ปี
การป้องกันกำจัด
1. ระยะมะม่วงใกล้จะออกดอกประมาณเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม ให้พ่นด้วยสมุนไพรน้ำส้มควันไม้ อัตราน้ำส้มควันไม้ 1 ส่วนต่อน้ำ 100-150 ส่วน หรือ(150 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร) หรือจะใช้ยาฆ่าแมลงคาร์บาลิน (เซฟวิน 85) อัตรา 60 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
2. ระยะมะม่วงเริ่มแทงช่อดอกให้พ่นด้วยน้ำส้มควันไม้ อัตรา 1: 150-200 ส่วน สมุนไพรหรือย่าฆ่าแมลงเซฟวิน 85 อัตรา 60 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
เพลี้ยแป้ง
เพลี้ยแป้งเป็นกลุ่มแมลงปากดูดขนาดเล็กเข้าทำลาย
ช่อดอกและช่อใบอ่อนมะม่วง โดยจะดูดกินน้ำเลี้ยงตามก้านดอก
และช่อดอก ทำให้ช่อดอกชงักการเจริญเติบโต แคระแกรน แห้ง
ถ้าพบระบาดมากทำให้มะม่วงไม่ติดผล แ ละตัวมันจะขับถ่ายของเหลวออกมาลักษณะเหนียว
หวาน เป็นที่ชื่นชอบของมดชนิดต่างๆ และจะเกิดราดำตามมา
การป้องกันกำจัด
ใช้น้ำส้มควันไม้ อัตรา 1 ส่วนต่อน้ำ 150 ส่วน ฉีดพ่นเมื่อมะม่วงเริ่มแทงช่อดอกหรือใช้คาร์บาริล (เซฟวิน 85) อัตรา 60 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือตัดกิ่งที่ถูกทำลายออกไปเผาไฟ หรือใช้ปิโตเลี่ยมออยหรือไวท์ออยฉีดพ่น
ท่านผู้อ่านท่านใดสนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ อาจารย์พิชัย สมบูรณ์วงศ์ นักวิชาการเกษตร ชำนาญการพิเศษ ฝ่ายนวัตกรรมและถ่ายทอดเทคโนโลยี สำนักวิจัยและส่งเสริมวิชาการการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ โทร. 053-873938-9 ในวันและเวลาราชการ
"เกษตรกรร้อยละ 70.2 บอกผลผลิตส้มลดลงส่งผลให้ราคาส้มแพงและประสพปัญหาโรคแมลงศัตรูพืช วอนรัฐช่วยเหลือ"
“ส้ม” เป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งทางภาคเหนือ ซึ่งมีการปลูกกันมากในพื้นที่ อำเภอฝาง อำเภอเชียงดาว อำเภอไชยปราการ และอำเภอแม่อาย ของจังหวัดเชียงใหม่ โดยพันธุ์ที่นิยมปลูกได้แก่ สายน้ำผึ้งและสีทอง ซึ่งผลผลิตส้มจะออกสู่ตลาด ในช่วงเดือน ธันวาคม – กุมภาพันธ์ ของทุกปี โดยใน 2 – 3 ปีที่ผ่านมาจพบว่าผลผลิตส้มนั้น ออกสู่ตลาดลดน้อยลงและมีราคาเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและพยากรณ์ทางการเกษตร โดยแม่โจ้โพลล์ จึงได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของเกษตรกรผู้ปลูกส้มในจังหวัดเชียงใหม่ที่มีพื้นปลูกส้ม ตั้งแต่ 25 ไร่ขึ้นไป ต่อความคิดเห็นเรื่อง “ส้ม” แนวโน้มราคาพืชเศรษฐกิจเมืองเหนือ ระหว่างวันที่ 15 – 25 ธันวาคม 2554 จำนวน 84 ราย สรุปผลได้ดังนี้
จากการสอบถามปริมาณผลผลิตส้มของเกษตรกรเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาพบว่า ร้อยละ 70.2 บอกว่าปริมาณส้มลดลง ซึ่งมีสาเหตุมาจากการเกิดโรคและแมลงศัตรูพืชทำให้ต้นส้มเสียหายส่งผลให้ผลผลิตลดลงรวมทั้งจำนวนพื้นที่การปลูกส้มลดลงเพราะเกษตรกรหันไปปลูกพืชอย่างอื่นแทน เมื่อสอบถามเกี่ยวกับปัญหาในการผลิตส้มนั้นพบว่า อันดับที่ 1 ได้แก่ปัญหาด้านโรคแมลง ศัตรูพืช โดยโรคที่พบส่วนใหญ่ คือ โรคกรีนนิ่ง โดยโรคนี้จะทำให้ผลส้มมีขนาดเล็ก เมล็ดลีบ และร่วงก่อนกำหนด โรคต่อมาคือ โรครากเน่าโคนเน่า โรคนี้จะทำให้ใบเหลืองซีดร่วงหล่น กิ่งเริ่มแห้งและต้นตายในที่สุด ซึ่งจากการสอบถามเกษตรกรผู้ปลูกส้มยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาโรคดังกล่าวได้ อันดับที่ 2 ปัญหาต้นทุนการผลิตสูง เนื่องมาจากเป็นพืชที่จะต้องดูแลและบำรุงเป็นอย่างดี อับดับที่ 3 สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงซึ่งทำให้การผสมเกสรของต้นส้มติดดอกน้อย อันดับที่ 4 ปัญหาด้านการขาดความรู้ของเกษตรกรเรื่องเทคนิคการผลิตที่ถูกต้อง และอันดับที่ 5 ปัญหาการนำเข้าส้มจากต่างประเทศ
เมื่อสอบถามถึงราคาส้มในปีนี้พบว่า ร้อยละ 66.7 เชื่อว่าส้มจะมีราคาสูงขึ้น โดยจากการสอบถามราคาที่เกษตรกรขายส่งจากสวนพบว่า มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่กิโลกรัมละ 37 บาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงเมื่อส้มออกสู่ตลาดก็จะมีการปรับราคาขึ้นอีกประมาณ 7-10 บาท โดยผู้บริโภคจะต้องซื้อส้มในราคากิโลกรัมละ 44-47 บาททีเดียว จากการสอบถามเกษตรผู้ปลูกส้มพบว่า สาเหตุที่ทำให้ราคาส้มเพิ่มสูงขึ้นนั้น นอกจากผลผลิตจะลดน้อยลงแล้วยังพบว่าพื้นที่ปลูกส้มนั้นลดลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะการปลูกส้มนั้นจะต้องมีการดูแลให้เป็นอย่างดี มีต้นทุนในการดูแลสูงอีกทั้งยังเจอกับปัญหาโรคแมลงที่ทำให้ต้นส้มและผลผลิตเสียหายซึ่งยังไม่มีวิธีแก้ไขได้อย่างชัดเจน เกษตรกรรายย่อยนั้นจึงหันไปปลูกพืชชนิดอื่นแทน ในส่วนการเพิ่มผลผลิตส้มนั้น พบว่าเกษตรกรนิยมทำส้มนอกฤดูเป็นหลัก เนื่องจากขายได้ราคาที่แพงกว่าในฤดู
ด้านการสอบถามการให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือและส่งเสริม ร้อยละ 48.5 เห็นว่า ต้องการให้เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาด้านโรคแมลง ศัตรูพืชให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกส้ม รองลงมาร้อยละ 24.2 ต้องการให้ช่วยเหลือเรื่องราคาปัจจัยการผลิตที่มีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ร้อยละ 18.2 ให้ช่วยเหลือเรื่องการตลาดและราคาส้มและร้อยละ 9.1 ต้องการความรู้และเทคนิคด้านการผลิตส้มให้ได้คุณภาพผลิตที่ดีตรงตามความต้องการของตลาด
ดังนั้น จากการสำรวจความคิดเห็นของเกษตรกรผู้ปลูกส้มที่มีพื้นที่ตั้งแต่ 25 ไร่ขึ้นไปนั้น ได้สะท้อนความคิดต่อประเด็นปัญหาที่ประสพมากที่สุดก็คือ ด้านโรคแมลง ศัตรูพืช ทำให้ต้องใช้สารเคมีส่งผลให้ต้นทุนสูง แล้วยังส่งผลให้เกษตรกรรายย่อยต้องเลิกปลูกส้มไป เพราะเผชิญกับปัญหาเรื่องต้นทุนประกอบกับสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลงทำให้ผลผลิตเสียหาย ซึ่งเมื่อผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยแต่ผู้บริโภคยังมีความต้องการมากย่อมส่งผลให้ผู้บริโภคต้องซื้อส้มมาบริโภคในราคาที่สูงขึ้นตามไปด้วยและจากปัญหาดังกล่าวก็ยังไม่มีหน่วยงานใดที่เข้ามาศึกษาและแก้ไขปัญหาให้แก่เกษตรกรได้อย่างแท้จริง
เครือข่ายประชาสัมพันธ์คณะเศรษฐศาสตร์ นายจีระศักดิ์ วงษาปัน
รายงานโดย
อาจารย์ พิชัย สมบูรณ์วงศ์ นักวิชาการเกษตรชำนาญการพิเศษ และสมศักดิ์ ศิริ นักวิชาการเกษตร งานถ่ายทอดเทคโนโลยี ฝ่ายนวัตกรรมและถ่ายทอดเทคโนโลยี สำนักวิจัยและส่งเสริมวิชาการการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ โทร. 053-873938-9