เจ้าของสัตว์เลี้ยงส่วนใหญ่ โดยเฉพาะสุนัข คงจะรู้จักมักคุ้นกับ เห็บ เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนอย่างนี้ เนื่องจากเป็นช่วงที่เราๆท่านๆจะพบเห็นเห็บได้มากขึ้น เพราะเป็นช่วงที่ภูมิอากาศและความชื้นเหมาะสมต่อการแพร่พันธุ์ของเห็บ...
เห็บเป็นหนึ่งในพยาธิภายนอกของสัตว์เลี้ยงที่พบได้บ่อยที่สุด และก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพของสัตว์เลี้ยง เนื่องจาก เห็บตัวหนึ่งๆสามารถดูดเลือดจากสัตว์ได้ถึง 0.5 ซี.ซี. ดังนั้น หากมีเห็บเกาะดูดเลือดอยู่บนตัวสัตว์เป็นจำนวนมาก จะมีผลให้สัตว์ไม่เจริญเติบโต , สุขภาพทรุดโทรม , อ่อนแอ เนื่องจากสภาพโลหิตจาง และยังเป็นส่วนโน้มนำให้สัตว์เลี้ยงป่วยด้วยโรคผิวหนังชนิดอื่นๆ เช่น ขี้เรื้อน ได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ เห็บยังเป็นพาหะนำโรค พยาธิในเม็ดเลือด เข้าสู่ตัวสัตว์ โดยพยาธิในเม็ดเลือดดังกล่าว ทำให้สัตว์เลี้ยงมีภูมิต้านทานต่ำลง มักมีอาการ เลือดกำเดาไหล , มีเลือดออกตามใต้ผิวหนัง , อาเจียนเป็นเลือด , ถ่ายเหลวเป็นเลือด และ ตายในที่สุด
ปัญหาที่เจ้าของสัตว์เลี้ยงมักพบในการป้องกันและกำจัดเห็บ ได้แก่ เห็บเป็นพยาธิภายนอกที่กำจัดให้หมดได้ยาก ต้องใช้ระยะเวลานานในการกำจัดให้หมด เพราะเห็บเป็นสัตว์ที่มีวงจรชีวิตซึ่งต้องอาศัยทั้งอยู่บนตัวสัตว์ และ อยู่ในสิ่งแวดล้อมบริเวณที่เลี้ยงสัตว์
โดยเห็บตัวผู้ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า มักจะผสมพันธุ์กับเห็บตัวเมียบนตัวสัตว์ แต่อย่างไรก็ตาม การผสมพันธุ์ของเห็บสามารถเกิดได้ทั้งบนตัวสัตว์หรือนอกตัวสัตว์ก็ได้ หลังจากผสมพันธุ์แล้ว เห็บตัวเมียจะดูดกินเลือดสัตว์เพื่อเร่งให้ไข่สุก จนกระทั่งตัวเป่ง เมื่อไข่สุกเต็มที่แล้ว เห็บตัวเมียจะปล่อยปากที่กัดติดอยู่กับผิวหนังของสัตว์ออก และตกหล่นมาจากตัวสัตว์เพื่อที่จะคลานไปหาบริเวณที่สามารถหลบซ่อนและเหมาะแก่การวางไข่ เช่น ตามพงหญ้า , ตอไม้ , ใต้กองหินกองอิฐ , ซอกไม้ , รอยแตกตามผนัง เป็นต้น ต่อจากนั้นจะเริ่มวางไข่ หากเป็นฤดูที่มีอากาศเย็น เห็บตัวเมีย 1 ตัว สามารถวางไข่ได้อย่างน้อยประมาณ 3,000 ฟอง หลังการวางไข่ เห็บตัวเมียจะค่อยๆเหี่ยวแห้ง ตัวแฟบลง และตาย ส่วนไข่จะฟักเป็นตัวอ่อนโดยใช้ระยะเวลาประมาณ 14 วัน ขึ้นอยู่กับว่า อุณหภูมิความชื้นพอเหมาะเพียงใด
ตัวอ่อนที่ฟักออกก็จะคลานไปเกาะตามใบหญ้า , ใบไม้ , เสารั้ว และคอยเกาะสัตว์ที่ผ่านมา เพื่อที่จะกลับไปอาศัยหากิน และผสมพันธุ์อยู่บนตัวสัตว์ดังเดิม
ดังนั้น การกำจัดเห็บให้ได้ผลที่ค่อนข้างรวดเร็ว จึงจำเป็นต้องกำจัดทั้งเห็บที่อาศัยหากินอยู่บนตัวสัตว์ และ เห็บ , ตัวอ่อน รวมถึง ไข่ ที่อยู่ในสภาพแวดล้อมบริเวณที่เลี้ยงสัตว์ด้วย ซึ่งการกำจัดเห็บที่อยู่บนตัวสัตว์ สามารถทำได้ทั้งวิธีการ อาบน้ำยากำจัดเห็บ , ฉีดยากำจัดเห็บ , การใช้ยาหยดหลัง , ใช้แป้งกำจัดเห็บโรย ฯลฯ ส่วนการกำจัดเห็บที่อยู่ในสภาพแวดล้อมมักจะต้องใช้สารเคมีกำจัดแมลง ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อคนและสัตว์ได้
ปัญหาอีกประการหนึ่งที่พบในการกำจัดเห็บในปัจจุบัน ได้แก่ การดื้อต่อยาของเห็บ ทำให้เห็บมักจะไม่ตาย ถ้าใช้ยาหรือสารเคมีชนิดใดชนิดหนึ่งติดต่อกันนานๆ ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะมียาและสารเคมีที่ใช้ในการกำจัดเห็บอยู่หลากหลายประเภท นอกจากนี้ ความสามารถในการดื้อยาของเห็บยังสามารถถ่ายทอดไปยังตัวอ่อนรุ่นต่อๆไปได้ จึงทำให้การกำจัดเห็บให้ได้ผล เป็นไปด้วยความยากลำบากยิ่งขึ้น
ด้วยเหตุนี้ การกำจัดเห็บในปัจจุบันจึงต้องใช้หลายๆวิธีประกอบกัน ทั้งการใช้ยา , สารเคมี ให้ถูกขนาด และควรใช้ยาให้หลากหลายชนิดสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป ร่วมกับการกำจัดโดยวิธีที่ไม่ใช้สารเคมี เช่น การใช้สารสกัดจากสมุนไพร หรือ การจับตัวเห็บออกด้วยมือ ซึ่งการจับตัวเห็บออกด้วยมือนั้น ต้องนำตัวเห็บที่จับได้ไปทำให้ตายโดยใส่ลงในภาชนะที่บรรจุน้ำมันก๊าดฯลฯ ไม่ใช่จับเห็บได้แล้ว นำไปบีบให้แตกหรือนำไปทิ้ง นอกจากนั้น การกำจัดเห็บให้ได้ผลจะต้องทำเป็นประจำเป็นโปรแกรมตามคำแนะนำของนายสัตวแพทย์ ไม่ใช่กำจัดเฉพาะในฤดูฝนซึ่งมีความชุกชุมของเห็บมากๆเท่านั้น ควรมีโปรแกรมการกำจัดเห็บตลอดปีโดยเฉพาะในฤดูร้อนซึ่งมีปริมาณของเห็บน้อยกว่าฤดูกาลอื่นๆ การกำจัดจะเป็นไปได้ง่ายกว่าครับ
ท่านผู้อ่านท่านใดสนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ อ. น.สพ. ไพโรจน์ พงศ์กิดาการ
คณะสัตวศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จ. เชียงใหม่ 50290 โทร. 053-873938-9 ในวันและเวลาราชการ