การปลิดผลและการห่อผลมะม่วง ข่าวจากหนังสือพิมพ์ไทยนิวส์ ฉบับวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 ปีที่ 40 ฉบับที่14,392
มะม่วงจัดได้ว่าเป็นไม้ผลเศรษฐกิจที่สำคัญอันดับต้นๆของประเทศไทย เดิมปลูกเพื่อบริโภคภายในประเทศเป็นส่วนใหญ่ แต่ปัจจุบันการปลูกมะม่วงของเกษตรกรไทยมุ่งส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม เกาหลีใต้ นิวซีแลนด์ แอฟริกา รัสเซีย จีน สหภาพยุโรป ภายใต้ระบบการผลิตตามมาตรฐานการส่งออก พันธุ์มะม่วงที่สามารถส่งออกได้ เช่น น้ำดอกไม้เบอร์ 4 น้ำดอกไม้สีทอง หนังกลางวัน มหาชนก และแรด ส่วนปริมาณการส่งออกของมะม่วงแต่ละพันธุ์ขึ้นอยู่กับความต้องการของประเทศนั้น ๆ พื้นที่ปลูกมะม่วงในประเทศไทยประมาณ 2 ล้านไร่ มีบริษัทส่งออกถึง ประมาณ 30 บริษัท ถึงแม้จะมีพื้นที่ปลูกและปริมาณมาก แต่มะม่วงที่มีคุณภาพดี ตรงตามมาตรฐานมีจำนวนน้อย ไม่เพียงพอต่อการส่งออก เฉพาะประเทศญี่ปุ่นประเทศเดียวต้องการมะม่วงถึง 1 หมื่นตัน แต่ไทยสามารถส่งได้เพียง 1,500 ตันเท่านั้น
อย่างไรก็ตามเกษตรกรผู้ปลูกมะม่วง จำเป็นจะต้องศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับเทคนิคและวิธีการผลิตมะม่วงให้ได้คุณภาพตรงตามมาตรฐานที่แต่ละกลุ่มกำหนดไว้ และจำเป็นอย่างยิ่งจะต้องรวมกลุ่มกันผลิตมะม่วงเพื่อที่จะบริหารจัดการด้านการผลิต การควบคุมคุณภาพและปริมาณผลผลิตให้ตรงกับความต้องการของตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งความปลอดภัยของผู้บริโภคและผู้ผลิต เช่น สารเคมีตกค้างและสารเคมีที่ห้ามใช้ในกระบวนการผลิต จึงจะประสบความสำเร็จในการผลิตมะม่วงเพื่อการส่งออกอย่างมืออาชีพ สามารถยกระดับความเป็นอยู่และเศรษฐกิจของครอบครัวให้มั่นคง สามารถแข่งขันกับการตลาดภายใต้การค้าเสรีอย่างยั่งยืน และทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยพัฒนาเจริญก้าวหน้าต่อไปได้
การปลิดผล
ให้ปลิดผลออกก่อนการห่อผล จำนวน 3 ครั้ง ครั้งที่ 1 เมื่อผลมีขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ (ประมาณ 20 วันหลังติดผล) โดยเลือกปลิดผลที่มีลักษณะดังต่อไปนี้ออก ได้แก่ ผลกระเทย ผลไม่ได้รูปทรง ผลบิดเบี้ยว และผลที่เบียดกัน อย่างไรก็ตามผลเหล่านี้สามารถขายได้ 13 บาทต่อ กก. นับเป็นผลขนาดเล็กสุดที่ปลิดออกในช่วงพฤศจิกายน-ต้นธันวาคม ครั้งที่ 2 ประมาณ 30 วันหลังติดผล ได้แก่ ผลกระเทย ผลบิดเบี้ยว ผลผิดรูปทรง ผลสีเขียวคล้ำ (ผลที่สมบูรณ์จะมีสีเขียวอ่อน) ผลขนาดลูกปิงปองขึ้นไป (เรียกลูกใหญ่) ขายได้ 3 บาทต่อ กก. ครั้งที่ 3 ซอยผลให้ห่าง กรณีช่อที่มีผลอยู่ห่างกัน เหลือไว้ไม่เกิน 2 ผลต่อช่อ (ผลลาย ผิวมีรอยขีด ผลต่อช่อมากเกินไป) ผลใหญ่ขายได้ 3 บาทต่อ กก. (มะม่วงยำ)
การปลิดผล ให้ระวังเรื่องยางเปื้อนผลที่ไม่ตัดออก ด้วยการพยายามปลิดผลในช่วงบ่าย ซึ่งจะมียางน้อยกว่าช่วงเช้า และใช้กระดาษชำระซับน้ำยางไว้ กรณีฝากท้อง ไว้ผลรอบสุดท้าย ไม่เกิน 5 ผลต่อช่อ (ปลิดผลกระเทย บิดเบี้ยว ผลที่ติดกันออก) การไว้ผลต่อช่อ จะอิงตลาดปลายทางเป็นเกณฑ์ หากส่งผลสด ต้องการผลขนาดเล็ก (280-450 กรัมต่อผล) จะไว้ผลต่อช่อมากกว่าส่งเพื่อทำมะม่วงแช่แข็ง ที่ต้องการผลขนาดใหญ่ (330 กรัมต่อผล ขึ้นไป)
การห่อผล
วัสดุห่อผล ทั้งน้ำดอกไม้เบอร์ 4 และน้ำดอกไม้สีทอง ใช้ถุงกระดาษคาร์บอน 2 ชั้น ข้อดีคือ สีผิวผลมะม่วงจะขึ้นสีเหลืองดี แม้ห่อเมื่อผลแก่ คุณสมบัติของถุงห่อผล ควรเลือกถุงกระดาษสีน้ำตาลด้านนอก เหนียวไม่ยุ่ยเมื่อถูกน้ำ หนา มัน นุ่มไม่กระด้าง กระดาษคาร์บอนด้านในหนา ถุงมีลวดโผล่ และลวดแข็ง เมื่อพับลวดพันก้านผลแล้วไม่คลายตัวออก ลวดที่โผล่ออกมาควรจะอยู่ด้านซ้ายของถุง จะสะดวกกว่าอยู่ด้านขวา และลวดที่โผล่ออกมายาวจะดีกว่าลวดไม่โผล่หรือโผล่ออกมาสั้น แนะนำ ถุงชุนฟง (ถ้าเก็บรักษาดีใช้ได้ถึง 5 ครั้ง) ราคา 1.30 บาทต่อถุง
ระยะการห่อในมะม่วงแต่ละพันธุ์ เริ่มห่อผลตั้งแต่ระยะขนาดไข่ไก่ คือ มีความยาวผลประมาณ 13-15 เซนติเมตร (ผลกว้าง 3 เซนติเมตร) โดยตัดแต่งช่อผลก่อนห่อ อธิบายว่าถ้าห่อผลในระยะที่เล็กกว่านี้ การร่วงของผลยังเกิดขึ้นมาก เนื่องจากพื้นที่โดยทั่วไปมีสภาพแห้งแล้งและร้อนจัด
วิธีการห่อ ต้องพ่นสารเคมีก่อนห่อ เทคนิคการห่อผล มีให้เลือก 2 วิธี ดังนี้
- จีบรูดปากถุงไว้ตรงกลาง ข้อดีคือ มัดได้แน่น กันเพลี้ยแป้งเข้าไปในถุงได้ดีกว่าแบบพับ จุดอ่อนคือ เก็บถุงไว้ใช้ต่อไม่ค่อยดี เพราะถุงจะยับมาก
- พับขอบถุงทั้งสองด้านมาประกบกันที่ตรงกลาง ข้อดีคือ ถุงไม่ยับ เก็บไว้ใช้ครั้งต่อไปได้ดี ห่อได้เร็ว จุดอ่อนคือ ลวดมัดไม่แน่น
ประโยชน์ที่ได้รับ ป้องกันลมพัดผลไปกระแทกกับกิ่ง ป้องกันโรคที่อยู่ในอากาศ ป้องกันแมลงที่อยู่ด้านนอกถุง ทำให้ผิวไม่ลาย เป็นสีเหลืองสม่ำเสมอ
การเก็บเกี่ยว
หลังห่อผลพ่นสารเคมี 2 ครั้ง จากนั้นใช้การนับวันเป็นดัชนีการเก็บเกี่ยว ประมาณ 120 วันหลังดึงดอก เมื่อถึงกำหนดให้สุ่มเปิดดูเป็นระยะ ดูสีผิวผลเรียบเนียนมีนวล (ขึ้นสี) อกเต็ม แก้มอูม สะดือเรียบ ปลายผลพันธุ์น้ำดอกไม้สีทองมีสีเหลืองเข้มขึ้น แล้วสุ่มไปจมลอยในน้ำ ต้นละ 1 ผล ประมาณ 5 ต้น เมื่อผลจมดิ่ง ตะแคง นิ่ง ไม่กระดก เป็นระยะที่เก็บเกี่ยวได้ (ความแก่ของผล 80-90% สำหรับผลแช่แข็ง) ประมาณ 130-140 วันหลังดึงดอก และสามารถเก็บต่อเนื่องไปได้ถึง 15 วัน หากมีฝนตก สามารถยืดเวลาการเก็บออกไปได้อีก เนื่องจากอากาศเย็น หากอากาศร้อนจัดผลจะแก่เร็วขึ้น ระยะการเก็บเกี่ยวจะสั้นลง
วิธีการเก็บ เตรียมอุปกรณ์ เช่น ตะกร้า บันได กรรไกร รถบรรทุก (ควรควบคุมความสูงของต้นให้ไม่เกิน 2.5 เมตร) เด็ดที่โคนช่อผล เนื่องจากเด็ดง่าย ยางไม่ไหลเปื้อนผล ถือง่าย แล้ววางลงตะกร้าทั้งถุงห่อ ขนไปโรงคัดบรรจุแล้วถอดถุง ตัดขั้วผลให้เหลือยาว 3-5 ซม. (เป็นระยะที่ยางไม่ไหล) พร้อมคัดแยกเกรดรอบที่ 1 (เรียกว่า “แยกหยาบ”) ได้ผลที่จำหน่ายได้กับผลตกเกรด (เน้นที่ขนาดผลตามที่บริษัทส่งออกกำหนด) รอบที่ 2 คัดแยกเกรดที่จะส่งชมรมฯ หากมีผลที่มีรอยเปื้อนเช็ดให้สะอาด จัดใส่ตะกร้าที่บุกระดาษหนังสือพิมพ์ทั้ง 4 ด้าน รองแต่ละชั้น บรรจุ 3 ชั้น
สารเคมีที่ห้ามใช้
1. Cypermethrin ไซเปอร์เมทริน
2. Abamectin อะบาเม็คติน
3. Dinotefuran ไดโนทีฟูแรน
4. Carbosulfan คาร์โบซัลแฟน
5. Chlorpyrifos คลอไพรีฟอส
6. Propiconazole โพรพิโคนาโซล
สารเคมีที่ทางประเทศญี่ปุ่นกำลังเฝ้าระวัง
1. Tetraconazole เตตระโคนนาโซล
2. Pirimiphos-methyl พิริมิฟอสเมทธิล
3. Piracolestrobin ไพราโคลสโตรบิน
4. Lamda-Cyhalothrin แลมป์ด้าไซฮโลทริน
5. Thiamethoxam ไธอะมีโทแซม
ขนาดของผลมะม่วงเพื่อส่งออกประเทศญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
2S 225 – 249 กรัม
S 250 – 279 กรัม
M 280 – 329 กรัม
L 330 – 379 กรัม
2L 380 – 449 กรัม
3L 450 กรัมขึ้นไป
ที่มา
: ธวัชชัย รัตน์ชเลศ ศูนย์วิจัยเพื่อเพิ่มผลผลิตทางเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
: ชมรมผู้ปลูกมะม่วง อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก
สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ อาจารย์พิชัย สมบูรณ์วงศ์ และนางจิรนันท์ เสนานาญ ฝ่ายส่งเสริมการเกษตร สำนักวิจัยและส่งเสริมวิชาการการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ โทร. 053-873938-9
นำเสนอข่าวโดย
ฝ่ายส่งเสริมการเกษตร สำนักวิจัยและส่งเสริมวิชาการการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ โทร. 053-873938-9