ปลูกมะรุม มะดันป้องกันโรคได้

    10-1มะรุม หรือ ภาคเหนือเรียก ผักอีฮึม มะค้อนก้อม ภาคกลางเรียก มะรุ่ม และภาคอีสานเรียก ผักอีฮุม  มะดัน ชื่อท้องถิ่น ส้มไม่รู้ถอย เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางสูงประมาณ 3-7 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยวสีเข้ม หนาแข็ง รูปขอบขนาน ออกเรียงสลับกัน มีรสเปรี้ยว....

    มะรุม หรือ ภาคเหนือเรียก ผักอีฮึม มะค้อนก้อม ภาคกลางเรียก มะรุ่ม และภาคอีสานเรียก ผักอีฮุม 10
    ลักษณะทั่วไป :
    ต้น  :      เป็นพรรณไม้ยืนต้น  ขนาดกลาง  ลำต้นจะเป็นพุ่มโปร่ง  จะมีเปลือกลำต้นเป็นสีเทาอ่อน  ผิวค่อนข้างเรียบ  ลำต้นมีความสูงประมาณ  15-20  เมตร
    ใบ  :    เป็นไม้ใบรวม  ออกรวมกันเป็นแผง ๆ  ละ  5-9  ใบ  ลักษณะของใบย่อยนั้นรูปใบจะมน      เกือบกลม  ปลายใบมนแต่โคนใบแหลมเรียว  หรือมนเล็กน้อย  เนื้อใบอ่อนบางมีสีเขียวกว้าง  ประมาณ  1-  1.5  นิ้ว  ใบที่อยู่ปลายสุดจะมีขนาดใหญ่กว่าใบอื่น ๆ
    ดอก  :  ดอกออกเป็นช่อ  อยู่ตามข้อบริเวณส่วนยอด  ดอกมีสีเหลืองนวล  มีอยู่  5  กลีบ  เกสรกลางดอกเป็นสีเหลืองเข้ม  บานเต็มที่โตประมาณ  1  นิ้ว
    ผล  :  ผลมีลักษณะเป็นฝัก  กลม  ยาว  ฝักอ่อนมีสีแดงเรื่อ ๆ  ฝักแก่จะมีเป็นสีเขียว  เปลือก ของฝัก หนา  มีเคลื่อนนูนของเมล็ด

    untitled3การรับประทาน :
    ใบสด    ควรรับประทานใบสดที่ไม่แก่หรืออ่อจนเกินไปนักเพื่อให้ได้ประโยชน์เต็มที่  การใช้ใบสดปรุงอาหารต่าง ๆ  สามารถทำได้ตามความต้องการและความถนัด  เนื่องจากใบมะรุมมีธาตุเหล็กสูงมาก  
    เด็กที่เริ่มทานอาหารได้ถึง  3-4  ขวบ  ควรทานวันละไม่เกิน  5  ใบ  และสามารถเพิ่มจำนวนขึ้นทีละน้อยตามอายุ  จนถึง 10 ขวบ เด็กในวัยเจริญเติบโตควรทานแต่พอสมควร  เพราะการรับประทานเกินขนาดธาตุเหล็กจะให้โทษมากกว่าให้คุณ
    เด็กวัยรุ่นและผู้ใหญ่  รับประทานวันละ  1  กิ่ง  จะทานสดหรือใช้ประกอบอาหารก็ได้  ถ้าจะให้ได้ผลเร็วควรคั้นน้ำดื่มประมาณวันละ  1  ช้อนโต๊ะ  สำหรับผู้ใหญ่  และ1  ช้อนชา  สำหรับเด็ก  บางคนรับประทานสดอาจมีอาการท้องเสีย  ไม่ต้องตกใจ  ให้ลดจำนวนลงและค่อย ๆ  เพิ่มจำนวนทีละน้อยจนร่างกายปรับสมดุล
    การรับประทานสุกควรลวกแต่พอควรเพราะการถูกความร้อนนานเกินไปจะทำให้สารอาหารหลายชนิดเสื่อมคุณภาพลงไปมาก  ถ้าสามารถรับประทานสดได้จะดีมากใช้ทำสลัดรวมกับผักสดหรือวางบนแซนด์วิชก็ได้    
    ฝัก  นำไปปรุงอาหารต่างๆ  ตามต้องการ  ใช้ได้ทั้งฝักอ่อนและฝักแก่พอสมควร  ฝักแก่ต้องปอกเปลือกก่อน

    untitled5เมล็ด สามารถนำเมล็ดมะรุมมาสกัดน้ำมันเพื่อใช้ประโยชน์ได้มากมาย  เช่น  ใช้ทำอาหาร  ใช้รักษาโรคปวดตามข้อ  โรคเก๊าต์  โรครูมาติซั่ม  และโรคผิวหนัง  แก้ผิวแห้ง  ใช้แทนยารักษาผิวให้ชุ่มชื้น  รักษาโรคอันเกิดจากเชื้อรา    
    เปลือกจากลำต้น  นำมาสับให้เป็นชิ้นเล็กๆ  ใส่ผ้าห่อทำเป็นลูกประคบ  นึ่งให้ร้อน  นำมาใช้ประคบแก้ปวดหลัง  ปวดตามข้อได้เป็นอย่างดี  
    ดอก      ใช้ต้มทำน้ำชา  ใช้ดื่ม  ช่วยให้นอนหลับสบาย
    ใบตากแห้ง   สามารถนำใบมาตากแห้ง  โดยตากในร่ม  อย่าให้โดนแดดเมื่อแห้งสนิทดีแล้วนำมาป่นเป็นผงบรรจุในหลอดแคปซูลเพื่อสะดวกแก่การพกพาในกรณีที่ต้องเดินทางและหาใบสดไม่ได้  ให้ทำเป็นน้ำชาไว้ดื่มได้ตลอด

    การขยายพันธุ์    : เป็นพรรณไม้กลางที่เจริญเติบโตได้ดีในดินทุกประเภทปลูกติดง่าย  ต้องการน้ำและความชื้นในปริมาณปานกลาง  ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด  หรือการปักชำกิ่ง

    วิธีการปลูก
    1.แบบเพาะเมล็ดลงในตะกล้าแล้วแยกปลูกลงถุง เพื่อจำหน่าย คือ การปลูกวิธีนี้เป็นวิธีที่แน่นอนกว่าการเพาะเมล็ดลงถุงเลย เนื่องจากเปอร์เซนการงออกของเมล็ดอาจมีการงอกน้อยทำให้เสียเวลาและสิ้นเปลืองวัสดุเพาะและ เมื่อทำการเพาะเมล็ดซ่อมแซมลงถุงใหม่ต้นมะรุมที่งอกใหม่จะไม่ใช่รุ่นเดียวกันกับมะรุมที่เพาะลงถุงครั้งแรกทำให้มีปัญหาเมื่อนำมะรุมไปจำหน่ายจะมีขนาดที่โตไม่เท่ากัน                                                       
    วัสดุและอุปกรณ์
    1.    เมล็ดมะรุม ต้องเป็นเมล็ดที่ได้จากฝักที่แก่ ฝักเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาลเมล็ดต้องไม่มีแมลงทำลาย และต้องมีครีบติดเปลือกหุ้มเมล็ด
    2.  ตะกล้าพลาสติก ขนาด 30 x 40 เซนติมตร
    3.  ดินร่วนปนทราย
    4.  ขี้เถ้าแกลบหรือแกลบดำ

    untitled42.วิธีการปลูก  แบบเพาะในตะกล้า
    1.ทำการผสมดินปลูกโดยนำดินผสมกับขี้เถ้าแกลบใช้อัตราส่วน 1 : 1 คือ ดิน 1 ส่วน ขี้เถ้าแกลบ 1 ส่วน
    แล้วจะได้ดินปลูกดังรูป 2.1  
    2.นำตะกล้าขนาด 30 x 40 เซนติเมตร ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์รองก้นตะกล้าสองแผ่นเพื่อป้องกันดินปลูกรอดลงรูตะกล้า
    3.นำดินปลูกใส่ลงตะกล้าโดยใส่ดินเขย่าตะกล้าใช้ไม้บรรทัดปาดให้เรียบเสมอกันเว้นเหลือจากขอบบนตะกล้าประมาณ 2 เซนติเมตร เพื่อเว้นพื้นที่ด้านบนในการใช้ดินกลบเมล็ด
    4. นำเมล็ดมะรุมลงปลูกในกล้าที่เตรียมไว้โดยปลูกเป็นแถวแถวละ 10  เมล็ดให้เต็มเนื้อที่ในตะกล้าการปลูกนั้นให้เมล็ดมะรุมฝังดินในลักษณะแนวนอนหรือขนานกับพื้นเพราะการงอกของมะรุมนั้นจะงอกที่ด้านหัวของเมล็ดถ้าปลูกเมล็ดแนวตั้งหรือแนวดิ่งอาจทำให้เมล็ดงอกช้าสวนที่งอกอยู่ใต้ดินนานเกินไปอาจทำให้เกิดการเน่าได้และไม่ควรฝังเมล็ดลึกจนเกินไปให้ฝังลึกประมาณ 0.5 เชนติเมตรแล้วใช้ดินกลบทีหลัง
    untitled_25.เมื่อกลบดินเสร็จให้รดน้ำให้ชุ่มแล้วใช้พลาสติกคลุมกันน้ำฝนชะเมล็ดประมาณ 6 – 7 วัน มะรุมก็จะงอกพ้นบนผิวดินและเริ่มแตกใบออกบ้างแล้วช่วงนี้ไม่ต้องใช้อะไรปิดบนตะกล้ารดน้ำให้ชื้นอยู่เสมอ
    6.ประมาณ 1 สัปดาห์ นับจากวันที่งอก ให้ทำการย้ายต้นกล้ามะรุมลงถุงปลูกทันที เพราะเมื่อทำการย้ายลงถุงช้าจะทำให้ลำต้นยืดสูงทำให้ลำต้นผอมไม่อวบอ้วน
    7.หลังจากต้นมะรุมได้ทำการย้ายเสร็จแล้วในช่วงนี้ให้ดูแลโดยการให้น้ำสม่ำเสมอจนมะรุมฟื้นตัวได้แล้วจึงสามารถนำไปจำหน่ายได้

    มะดัน
    มะดัน ชื่อท้องถิ่น ส้มไม่รู้ถอย เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางสูงประมาณ 3-7 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยวสีเข้ม หนาแข็ง รูปขอบขนาน ออกเรียงสลับกัน มีรสเปรี้ยว ดอกเป็นดอกเดี่ยวมีขนาดเล็ก ออกเป็นกระจุกตามซอกใบ และกิ่งก้าน กลีบดอกหนาแข็งมีสีเหลืองส้มหรือสีส้มอมม่วง ผลมีลักษณะกลมยาว รสเปรี้ยวมาก และให้ผลตลอดปี เมล็ดยาวแบนโค้งเล็กน้อย คล้ายพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว ปลายเมล็ดแหลมทั้งสองด้าน ใบเป็นแบบ ใบวงเป็นแถวคู่ ฐานใบมน ใบยาวประมาณ 9 เซนติเมตร กว้าง 2.5 เซนติเมตร  ดอกออกดอกเป็นกลุ่ม 3-6 ดอก ดอกเดี่ยวเล็กๆมีสี่กลีบยาว 6.5 มิลลิเมตร กว้าง 3 มิลลิเมตร ผลเป็นรูปกลมยาวปลายเรียวหรือยาวรี ผลยาว 5-7 เซนติเมตรกว้าง 2-3 เซนติเมตร ผลสีเขียวเป็นมันรสเปรี้ยวจัด
    การขยายพันธุ์ ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด การปลูกมะดัน มะดันในธรรมชาติมักจะขึ้นในป่าโปร่ง ที่ลุ่มต่ำและริมตะลิ่ง แม่น้ำลำครองชาวบ้านมักนำมาปลูกตามบ้าน และตามสวน มะดันเป็นพันธุ์ไม้ที่ชอบดินร่วนซุย ชุ่มชื้น ระยะปลูก 6x6 เมตร
    ประโยชน์และสรรพคุณของมะดัน

    untitled_8ประโยชน์
    ยอดอ่อน ใส่ต้มเนื้อต้มปลา ต้มปลา ต้มไก่ ทำให้รสชาติเปรียว สามารถใช้ทดแทนมะนาวนอกจากนั้นยังทำให้รสชาติของอาหารหวานและหอมขึ้น ผลใส่น้ำพริกหรือต้ม แกงต่างๆ หรือ ดอง กิ่งใช้หนีบไก่ ทำเป็นไก่ปิ้งไม้มะดัน ทำให้มีกลิ่นหอม สรรพคุณใบและราก เป็นยาดองเปรี้ยวเค็ม และปรุงเป็นยาต้มรับประทานแก้กระษัย แก้ระดูเสีย ขับฟอกโลหิต เป็นยาระบายอ่อนๆ และเป็นยาสกัดเสมหะในลำคอดี ผล เป็นยาสกัดเสมหะในลำคอ ทำเป็นอาหาร ยาฟอกเสมหะ แก้ไอ แก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ และช่วยขับระดู
    ขนาดและวิธีใช้  ใบและผล
    1 . นำมาทำยาดองเปรี้ยวเค็ม เพื่อเป็นยาฟอกเสมหะ แก้ไอ แก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ และช่วยขับระดู เอายามาบดเป็นยาผงหยาบๆ ห่อผ้าขาวบางให้หลวมๆ ใส่ในโหลแก้วเติมเหล้าให้ท่วมผ้าห่อยา แช่ไว้ประมาณ 7 วัน ระหว่างที่แช่ให้บีบห่อผ้าบ่อยๆ เพื่อให้ตัวยาออกมา ขนาดรับประทาน 1 แก้ว
    2.  นำไปปรุงเป็นยาต้ม ช่วยแก้กษัยและช่วยละลายเสมหะเป็นยาระบายอ่อน โดยใชใบหรือผลประมาณ 1 กำมือ ใส่น้ำให้ท้วมยา ต้มจนสุก หมายถึงต้มให้เดือด (ประมาณ 10 นาที) นอกจากบางตำราที่กำหนดไว้ว่า ต้ม 3 เอา 1 ก็หมายถึงให้ใส่น้ำ 3 ส่วน เวลาต้มไม่ควรใช้ไฟแรง ต้องให้น้ำ
    ค่อย ๆ เดือด ขนาดรับประทาน สำหรับยาต้มคือ 0.5-1 แก้ว ( 1 แก้ว เท่ากับ 250 ซีซี โดยประมาณ)
    การวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ ใบและผลมีรสเปรี้ยวประกอบด้วยสารที่สำคัญคือ เบต้า-แคโรทีน (b-Carotene) วิตามินซี และแร่ธาตุหลายชนิดเช่น แคลเซีอม ฟอสฟอรัส เหล็ก

    ท่านผู้อ่านท่านใดสนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  อ. พิชัย  สมบูรณ์วงศ์  ฝ่ายนวัตกรรมและถ่ายทอดเทคโนโลยีมหาวิทยาลัยแม่โจ้     
    จ. เชียงใหม่  50290   โทร.   053-873387-9      ในวันและเวลาราชการ

    © 2017 Your Company. All Rights Reserved. Designed By agethemes.com.com
    Free Joomla! templates by AgeThemes