พืชผักมีความสำคัญต่อชีวิตของมนุษย์ เป็นแหล่งอาหารที่ให้ประโยชน์ในด้านเป็นแหล่งวิตามิน ทำให้ร่างกายแข็งแรง และมีเส้นใยอาหารทำให้ระบบขับถ่ายภายในร่างกายเป็นไปอย่างปรกติ ในแต่ละวันประชาชนมีการประกอบอาหาร จำเป็นต้องใช้ผักเป็นอาหารหลักและใช้ในการประกอบเป็นเครื่องปรุงรสหลากหลายชนิด เช่น พริก กระเทียม ผักบุ้ง กวางตุ้ง คะน้า ตะไคร้ ใบมะกรูด ข่า ขิง ผักชี คื่นฉ่าย กระชาย หอมแดง หอมแบ่ง เป็นต้น
ปัจจุบันได้เกิดปัญหาอุทกภัย น้ำท่วมเป็นวงกว้าง ทำให้กลุ่มพืชผัก ได้รับผลกระทบโดยตรง เกิดความเสียหาย จากภัยพิบัติเหล่านี้ทำให้เกิดความขาดแคลนส่งผลทำให้ราคาสูงขึ้น เป็นอย่างมาก ทั้งนี้ประชาชนสามารถแบ่งเบาภาระอันเนื่องจากผักราคาที่สูงขึ้นโดยการปลูกพืชผักสวนครัว อายุสั้น ต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง
กลุ่มพืชผักที่แนะนำควรเป็นพืชผักที่มีอายุสั้น ดูแลรักษาง่าย ๆ มีการเจริญเติบโตเร็ว ได้แก่ ผักบุ้ง ผักกวางตุ้ง ผักคะน้า หอมแบ่ง ผักชี ผักกาดฮ่องเต้ ผักกาดขาวปลีพันธุ์เบา เป็นต้น
วิธีการ
1. พื้นที่ปลูกในกรณีไม่มีพื้นที่หรือพื้นที่มีน้ำท่วมขัง มีข้อแนะนำให้หาที่เพาะปลูกในภาชนะต่าง ๆ เช่น กะบะ ตะกร้า เข่ง หรือ ภาชนะที่สามารถบรรจุวัสดุปลูกได้
2. วัสดุเพาะปลูกให้หาดินร่วนผสมกับปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมักผสมคลุกเคล้าในอัตรา ดินร่วน 3 ส่วน ผสมกับปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก 1 ส่วน
3. เมล็ดพันธุ์พืชผักอายุสั้นต่าง ๆ
4. เมื่อจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ข้างต้นไว้พร้อมแล้ว ก็นำเมล็ดพันธุ์หว่านให้
กระจายโดยทั่วบนผิวหน้าภาชนะที่เตรียมไว้บาง ๆ และให้กระจายตัวมากที่สุด และมีการกลบเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ให้หนาประมาณ 2-3 เท่า ของเมล็ดด้วยดินร่วน หรือปุ๋ยหมักหมั่นรดน้ำทุกวันเช้าและเย็น ประมาณ 3-5 วัน เมล็ดก็จะงอกขึ้นมาเป็นต้นอ่อน ถ้าหากมีประมาณการงอกที่หนาแน่นอาจจะถอนแยกออกและย้ายปลูกในภาชนะใหม่
5. อายุการเจริญเติบโตของพันธุ์ผักแต่ละชนิดจะมีอายุในการเจริญพร้อมเก็บเกี่ยวแต่ละชนิดดังนี้
ผักบุ้ง 20-25 วัน ผักกวางตุ้ง 25-30 วัน
คะน้า 30-35 วัน ผักกาดขาวปลีพันธุ์เบา 25-30 วัน
ผักชี 40-50 วัน
ในช่วงการเจริญเติบโตควรให้ปุ๋ยประเภทปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพเสริมทุก ๆ 5-7 วัน เพื่อให้ได้ผักปลอดสารพิษในการบริโภค
วิธีการทำน้ำหมักชีวภาพอย่างง่าย
1. นำเศษพืช สัตว์ ผัก ผลไม้ หญ้า เศษอาหารที่ยังสดอยู่ มาสับเป็นชิ้นเล็กๆพอควร ยิ่งละเอียดยิ่งดี ชั่งเศษพืชสัตว์ให้น้ำหนัก สมมติว่า 3 กิโลกรัม (ใช้มากหรือน้อยตามอัตราส่วน)
2. หมักในโอ่ง ไห ถังพลาสติก ห้ามใช้พาชนะที่เป็นโลหะ (เพราะน้ำหมักชีวภาพมีสภาพเป็นกรดสูง จะกัดโลหะผุกร่อนเร็ว
3. ในกรณีนี้ ให้ใส่น้ำตาลทรายแดง (ที่ยังไม่ฟอก) หรือน้ำตาลทรายขาว หรือกากน้ำตาลหนัก 1 กิโลกรัม ลงไปผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน
- ถ้าส่วนใหญ่เป็นเศษพืช ใช้เศษพืชต่อน้ำตาล = 3 ต่อ 1
-ถ้าส่วนใหญ่เป็นเศษสัตว์ ใช้เศษสัตว์ = 1 ต่อ 1
4. ปิดฝาโอ่ง ไห ถังพลาสติกให้สนิท อย่าให้อากาศเข้า และควรเก็บไว้ในที่ร่ม ใช้ปากกาเขียนวันเดือนปีที่หมักไว้
5. หลังจากหมักไว้ 15 วัน ให้เปิดฝาออก เติมน้ำลงไป 10 ลิตร หรือ 10 กิโลกรัม ใช้ไม้คนให้ทั่ว ปิดฝาให้สนิทไว้ดังเดิม หลังจากนั้นอีกประมาณ 5 วัน จึงเปิดฝาแล้วใช้ไม้คนให้ทั่ว และปิดฝาไว้เหมือนเดิม
6. น้ำหมักชีวภาพนี้ สามารถเริ่มใช้ได้หลังจากหมัก 5 วัน ถ้าจะให้ได้ผลดี ควรหมักไว้นาน 30 วัน และจะให้ผลผลิตเพิ่มมากขึ้น เมื่อหมักไว้นาน 3 เดือน หรือมากกว่า ซึ่งจะทำให้น้ำหมักชีวภาพมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นด้วย
วิธีการใช้น้ำหมักชีวภาพ
ใช้ฉีดพ่นพืชผัก น้ำหมักชีวภาพ 1 ส่วน ผสมน้ำ 500 – 1,000 ส่วน หรือน้ำหมักชีวภาพ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 7 – 10 ลิตร ฉีดพ่นทุก 7 วัน
ใช้ราดลงดิน น้ำหมักชีวภาพ 1 ส่วน ผสมน้ำ 200 - 500 ส่วน หรือน้ำหมักชีวภาพ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 5 ลิตร ทุกๆ 7 วัน
ท่านผู้อ่านท่านใดสนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
อ. ปรีชา รัตนัง สาขาพืชผัก ภาควิชาพืชสวน คณะผลิตกรรมการเกษตร
มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จ. เชียงใหม่ 50290 โทร. 053-873380 ในวันและเวลาราชการ
รายงานโดย
อาจารย์ พิชัย สมบูรณ์วงศ์ นักวิชาการเกษตรชำนาญการพิเศษ และสมศักดิ์ ศิริ นักวิชาการเกษตร งานถ่ายทอดเทคโนโลยี ฝ่ายนวัตกรรมและถ่ายทอดเทคโนโลยี สำนักวิจัยและส่งเสริมวิชาการการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ โทร. 053-873938-9