การเลี้ยงกุ้งฝอยเชิงพาณิชย์ บทความจากหนังสือพิมพ์ไทยนิวส์ ฉบับวันที่ 4 ธันวาคม 2552 ปีที่ 40 ฉบับที่ 14,304 คอลัมม์ ทรัพย์ในดินสินในน้ำ..
จากวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมาต้องยอมรับเป็นผลทำให้มีผู้ที่ตกงานมากมาย ทำให้หลาย ๆ คนเห็นสัจจะธรรมที่ว่าอย่าทำอะไรเกินตัว วิถีชีวิตแบบพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ สิ่งที่เห็นได้จริง ทำได้จริง ใช้ในสิ่งที่จำเป็น ในปัจจุบันคนอยู่ในวิถีชีวิตที่มีความอดทนน้อยลง ความขี้เกียจมากขึ้น หลายสิ่งหลายอย่างต้องหาซื้อใช้จากความขี้เกียจหรือไม่อดทนเลย ต้องมีอันนั้น อันนี้ แค่โทรศัพท์ที่มือถือก็บริโภคจนเกินควร บางคนซื้อแพง ๆ แต่ใช้ประโยชน์แค่การพูดคุย บางคนมีหลายเครื่อง หลายสิ่ง หลายอย่าง เราบริโภคจนเกินควร เกินที่ทรัพยากรจะมีให้ ผลสุดท้ายก็เกิดผลกระทบในวงกว้าง โดยเฉพาะผลเสียที่มีผลต่อมนุษย์เอง
การเลี้ยงสัตว์น้ำช่วยกอบกู้วิกฤตเศรษฐกิจได้ นอกจากเป็นส่วนหนึ่งในการทำการเกษตร ทฤษฏีใหม่แล้ว ยังสามารถทำเป็นเสมือนครัวหลังบ้านหรือเป็นแหล่งสร้างรายได้ให้กับครอบครัวได้ กุ้งฝอยเป็นสัตว์ขนาดเล็กที่หลายคนมองข้าม แต่โดยแท้จริงแล้ว กุ้งฝอยมีความสำคัญทั้งที่เป็นอาหารมนุษย์และสัตว์น้ำอื่น ๆ มีความสำคัญ เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อาหารในระบบนิเวศ จากความต้องการที่สูงและมีปริมาณไม่เพียงพอ เนื่องจากแหล่งน้ำในธรรมชาติลดลง หลายแหล่งเกิดความเสื่อมโทรมทำให้ราคากุ้งฝอยในตลาดสูงถึงกิโลกรัมละ 200-300 บาท
จากการศึกษาวิจัย ดร.บัญชา ทองมี คณะเทคโนโลยีการประมงและทรัพยากรทางน้ำ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จ. เชียงใหม่ โดยทุนสนับสนุนการวิจัยจาก สวทช. (เครือข่ายภาคเหนือ) และจากการวิจัยเพิ่มเติมโดยทุนส่วนตัว ทำให้สามารถพัฒนาระบบการเพาะและเลี้ยงกุ้งฝอยได้ในระดับที่น่าพอใจ แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มผลผลิตต่อไป
กุ้งฝอยในประเทศไทยพบหลายชนิดแต่ที่พบมากและนิยมคือ Macrobrachium lanchesteri ชื่อสามัญ เป็นกุ้งที่อยู่ในสกุลเดียวกับกุ้งก้ามกราม ลักษณะลูกกุ้งฝอยจึงมีลักษณะคล้ายกุ้งก้ามกรามมาก แต่สามารถแยกได้โดยดูตรงบริเวณกรี ซึ่งกุ้งก้ามกรามจะมีกรีที่มีลักษณะโค้งขึ้น และมีซี่หยักฟันกรีที่มากกว่า คือ 12-17 ซี่ ขณะที่กุ้งฝอยมีกรีลักษณะตรง ซี่หยักบริเวณกรี มี 5-7 ซี่ กุ้งฝอยชอบอาศัยในน้ำที่ไหลไม่แรง ความลึกไม่เกิน 1 เมตร สะอาด มีอินทรีย์สารและอาหารธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ กินอาหารได้ทุกชนิด รวมทั้งซากพืชซากสัตว์ กุ้งฝอยที่สามารถนำมารับประทานจะมีขนาดตั้งแต่ 2.5-3.5 ซม. แต่ขนาดประมาณ 3 ซม. จะเป็นขนาดที่พอเหมาะในการรับประทาน กุ้งฝอยเป็นสัตว์ที่ผสมพันธุ์ภายนอก เพศผู้และเพศเมีย มีเพศแยกกัน ไข่ที่ถูกปล่อยออกมาจะผสมกับน้ำเชื้อที่ถูกเก็บเอาไว้แล้วและถูกเก็บไว้ที่ด้านท้องบริเวณที่มีขาว่ายน้ำด้วยเมือกเหนียว และจะใช้เวลาในการพัฒนาการของไข่ประมาณ 25 วัน จึงฟักออกเป็นตัวหลังจากฝักออกเป็นตัวจะทำการอนุบาลประมาณ 1 เดือนเพื่อให้ลูกกุ้งมีความแข็งแรง อาหารที่ใช้อนุบาลลูกกุ้งคือ ไข่แดงต้มสุกในสัปดาห์แรก (โรติเฟอร์) ในสัปดาห์ที่ 2 และ 3 และเสริมไรแดงในสัปดาห์ที่ 4 หลังจากนี้จะนำไปเลี้ยงในบ่อดิน ขนาด 1-2 งาน ด้วยอาหารสำเร็จรูป หรือ อาหารที่ผลิตเอง ต้นทุนประมาณ 20 บาทต่อ 1 กิโลกรัม
สูตรอาหารประกอบด้วย
1. กากถั่วเหลือง 30%
2. ปลาป่น 25%
3. น้ำมันพืช 3%
4. น้ำปลาหมัก 1%
5. แป้งมัน 6%
6. ปลายข้าวต้มสุก 10%
7. รำละเอียด 25%
รวม 100%
1. เตรียมบ่อปล่อยน้ำออกจากบ่อ ตากบ่อให้แห้ง บ่อเก่าให้หว่านปูนขาว 60-120 กก. ต่อไร่
เติมน้ำ (โดยผ่านถุงกรอง) 30-40 ซม. ใส่ปุ๋ยมูลไก่
60-100 กก. ต่อไร่ ทิ้งไว้ 4-5 วัน จนมีสีเขียวอ่อนเติมน้ำจนได้คราบลึก 80-100 ซม.
2. เตรียมกระชังเพาะฟักใช้กระชังผ้าโอล่อนแก้วหรือ
ผ้าขาวที่ละเอียด ขนาด 1x1x80 เมตร
3. เตรียมตะแกรงพลาสติกขนาดตา 0.5 ซม.เพื่อใส่พ่อแม่พันธุ์
4. เตรียมแม่พันธุ์โดยคัดเลือกแม่กุ้งไข่แก่ที่ไข่มีจุดตา 2 จุด
วิธีการเพาะ
นำแม่กุ้งไข่แก่ใส่ในตะแกรง เมื่อไข่ฟักออกเป็นตัว รวบรวมลูกกุ้งที่มีอายุเดียวกันไปอนุบาลต่อ จนมีอายุ 1 เดือน ซึ่งเป็นขนาดประมาณ 1 ซม. ซึ่งเป็นขนาดที่แข็งแรงสามารถรอดจากศัตรูธรรมชาติได้ การอนุบาลจะอนุบาลในกระชังที่กว้างในบ่อดิน กุ้งจะเจริญเติบโตเร็วเนื่องจากมีอาหารธรรมชาติเพิ่มเติมจากอาหารที่ให้
การเลี้ยงกุ้งฝอยในบ่อดิน สามารถปล่อยได้ตั้งแต่ 100-1,000 ตัวต่อตารางเมตร จะมีอัตราการเจริญเติบโตเร็วที่สุด แต่การปล่อยที่มากถึง 1,000 ตัวต่อตารางเมตร จะได้ผลผลิตรวมต่อรารางเมตรต่อระยะเวลา 3 เดือน มากกว่าและคุ้มค่ากว่าการให้ระบบอากาศลงไปจะทำได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น
การเลี้ยงกุ้งฝอยต้องระวังศัตรูธรรมชาติ เช่น ลูกอ๊อดของกบ เขียด ตัวอ่อนแมลงปอ มวนกรรเชียง ที่จะมากินลูกกุ้งฝอยได้ (ในกรณีที่ปล่อยพ่อแม่พันธุ์ลงเพาะในบ่อดินโดยตรง)
การให้อาหารโดยผสมกับอาหารที่ผ่านการหมักจะทำให้กุ้งฝอยเข้ากินอาหารดีขึ้นและมีขนาดที่สม่ำเสมอกัน
ขอรายละเอียดเพิ่มเติมจาก ดร. บัญชา ทองมี ได้ที่ 053-498178 คณะเทคโนโลยีการประมงและทรัพยากรทางน้ำ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จ. เชียงใหม่
รายงานโดย
ฝ่ายส่งเสริมการเกษตร
สำนักวิจัยและส่งเสริมวิชาการการเกษตร
มหาวิทยาลัยแม่โจ้ โทร. 053-873938-9