เคพกูสเบอรี่ผลไม้ดีเพื่อสุภาพ

พิมพ์

11-1เคพกูสเบอรี่ ผลไม่ดีเพื่อสุขภาพ บทความจากหนังสือพิมพ์ไทยนิวส์ ฉบับวันที่  26 พฤศจิกายน 2552 ปีที่ 40 ฉบับที่ .... คอลัมม์ ทรัพย์ในดินสินในน้ำ..

thainews

11-2นักวิชาการเกษตร ฝ่ายพัฒนาเกษตรที่สูง  มหาวิทยาลัยแม่โจ้  ได้ทำการศึกษาค้นคว้าและทดลองปลูกเกี่ยวกับเคพกูสเบอรี่หรือโทงเทงฝรั่งในมูลนิธิโครงการหลวง  ซึ่งทำการปลูกในสภาพโรงเรือนพบว่าได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ  ทำให้เคพกูสเบอรี่เป็นผลไม้เพื่อสุขภาพ  ถือเป็นทางเลือกใหม่ให้กับผู้บริโภค

ทุกวันนี้ ผู้คนทั่วไปตื่นตัวหันมาสนใจสุขภาพตัวเองมากขึ้น  โดยให้ความสำคัญถึงคุณค่าและประโยชน์จากอาหารเพื่อป้องกันหรือบรรเทาโรคภัยไข้เจ็บ แทนการใช้ยารักษาโรคอย่างพร่ำเพรื่อ เหมือนคำพูดที่ว่า “...ให้กินอาหารเป็นยา  ดีกว่ากินยาเป็นอาหาร...”  นั่นหมายถึงอย่าทานยามากมายเกินไปจนกลายเป็นอาหาร แต่ควรทานอาหารที่มีประโยชน์และสามารถแทนยาป้องกันรักษาโรคได้นั่นเอง  นอกจากนั้น ท่านคงต้องได้ยินได้พบเห็นบ่อย ๆ กับคำว่า  “...สุขภาพดีไม่มีขาย...”  แต่สำหรับวันนี้อยากบอกกับท่านว่า  “...ผลไม้เพื่อสุขภาพดี  มีขายแล้ว...”

เคพกูสเบอรี่  (cape gooseberry)  เป็นผลไม้ที่มีคุณค่า อุดมไปด้วยวิตามิน  C  ที่มีคุณสมบัติป้องกันไข้หวัด (2009)  ภูมิแพ้  วิตามินเอป้องกันอาการตาบอดในที่มืด  ทำให้สายตาดี  ผิวพรรณสวย  ผมสวยดกดำ  เคพกูสเบอรี่ อยู่ในจีนัส (Genus)  Physalis และในตระกูล (Family) Solanaceae พวกตระกูลเดียวกับพริก  มะเขือ  มะเขือเทศ  มันฝรั่ง  ยาสูบ  พิทูเนีย  บางครั้งเรียก Strawberry  tomato, Husk tomato และ  Ground Cherry  มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้แถบประเทศเปรู  ชิลี  จึงมีชื่อวิทยาศาสตร์ตามภูมิศาสตร์กำเนิดว่า Physalis  Peruviana L.  คนไทยเรียกว่า  “โทงเทงฝรั่ง”11-4

เคพกูสเบอรี่เป็นหนึ่งในผลผลิตจากงานส่งเสริมและพัฒนาไม้ผลขนาดเล็ก  มูลนิธิโครงการหลวงที่ชาวเขาปลูกเป็นการค้าบนพื้นที่สูง  เพื่อเป็นพืชทดแทนฝิ่นในการสร้างรายได้  การปลูกต้องเพาะเมล็ดประมาณ 1 เดือน ก่อนแล้วจึงย้ายกล้าปลูก ใช้ระยะ 1.5 × 1.5 หรือ  2 ×2  เมตร ลักษณะโดยทั่วไป เป็นพืชประเภทเนื้อไม้นิ่ม  ข้ามปี  แต่นิยมปลูกปีเดียว ลำต้นสูง 0.90 – 1.8 เมตร กิ่งก้านแผ่กระจายออกเป็นพุ่มสีค่อนข้างม่วง ใบอ่อนนุ่ม  รูปหัวใจ ยาวประมาณ 6 – 15 เซนติเมตร ตาดอกเกิดขึ้นตรงข้อกิ่ง ดอกสีเหลืองเข้ม มีจุดสีน้ำตาลม่วง 5 จุดที่โคนดอก กลีบเลี้ยงมี 5 กลีบ หลังกลีบดอกร่วง กลีบเลี้ยงสีเขียวจะหุ้มผลไว้ จากนั้น 70 – 80 วัน กลีบเลี้ยงเปลี่ยนเป็นสีฟางข้าว  ผลข้างในมีสีเหลืองทองจึงเก็บเกี่ยวได้  ผลเคพกูสเบอรี่มีลักษณะกลมเกลี้ยง  ผิวเรียบเป็นมัน  เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ  1 – 2  นิ้ว  เนื้อผลนุ่มฉ่ำแทรกด้วยเมล็ดสีเหลืองรสหวานอมเปรี้ยวนิด ๆ คล้ายสับปะรดผสมมะเขือเทศ  หรือ  มะเขือเทศผสมองุ่น แต่มีกลิ่นหอมน่ารับประทานมากกว่า  การใช้ประโยชน์ทางอาหาร  เช่น  แยม  ซอส  พายน์  พุดดิ้งกวน  ไอศกรีม  รับประทานเป็นสลัดผลไม้  น้ำปั่น  จุ่มน้ำผึ้ง จุ่มผลด้วยช็อกโกแลต

คุณค่าทางอาหารของเคฟกูสเบอรี่ต่อส่วนที่รับประทานได้น้ำหลัก  100  กรัม

ความชื้น

85.9  g.

ฟอสฟอรัส

21.0  mg.

คาร์โวรอยด์

49  Cal

เหล็ก

1.7  mg.

โปรตีน

1.5  g.

คาร์โรทีน

1.613  g.

ไขมัน

0.5  mg.

ไทอะมีน

0.101  g.

กาก

0.4  mg.

โรโบฟราวิน

0.17  mg.

เก้า

0.7  g.

ไนอะซีน

0.8  mg.

แคลเซียม

0.9  mg.

กรดอะโคลิก

20.0  mg.

คาร์โบไฮเดรท

11.0  mg.

วิตามินเอ

1730  U.I.

11-5 ประโยชน์ในทางการแพทย์ของสตรอเบอรี่ดอย

ในทางการแพทย์จากอดีตนั้นพบว่าส่วนต่างๆ  ของสตรอเบอรี่ดอย  (Wild  Strawberry)  ทั้งประเภท  Fvirginiana  สามารถใช้เป็นประโยชน์ในการป้องกันรักษาโรคต่างๆ  ได้  เช่น  รากที่มีความฝาดในรักษาอาการท้องร่วง  และใบแปรรูปเป็นชาชงดื่มรักษาโรคบิด  เป็นต้น

จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทยในปัจจุบันรายงานว่า  โรคมะเร็งเป็นสาเหตุทำให้คนไทยเสียชีวิตเป็นอันดับหนึ่งมาโดยตลอด  8   ปีทีผ่านมา  คาดว่าในปี  พ.ศ.  2551  จะมีผู้ป่วยจากโรคมะเร็งมากถึง  120,000  ราย  และพบว่ามีผู้ป่วยที่มีอายุน้อยลงกว่า  40  ปีในปริมาณที่สูงขึ้น  การรับประทานผักและผลไม้สดรวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่ได้จากผักและผลไม้  พบว่ามีผลต่อการต้านทานของโรคเรื้อรังบางชนิดได้เช่น  โรคหลอดเลือดหัวใจและโรคมะเร็งบางชนิด  จากผลของการค้นพบในทางการแพทย์ยุคปัจจุบันนี้  นับว่าการค้นพบสารที่ต้านออกซิเจนไปรวมตัวกับสารอื่นแล้วทำลายตัวมันเองหรือเรียกว่า  สาร  Antioxidants  นั้น  เป็นการค้นพบที่สำคัญอย่างยิ่ง  เพราะเหตุว่าสารขจัดอนุมูลอิสระพวกนี้จะเป็นสารที่ทำให้ระบบทำงานได้ดีขึ้น  อันเป็นการเสริมสร้างชีวิตให้มีคุณภาพและพลังกายให้เกิดความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น  จึงทำให้คนเราไม่เกิดความเจ็บป่วยได้ง่าย  มีผลกระทบให้ระบบภายในของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น  อันเป็นการเสริมสร้างชีวิตให้มี11-6คุณภาพและพลังกายให้เกิดความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น  ผลสตรอเบอรี่สดถูกพบว่าเป็นแหล่งธรรมชาติที่ดีของสารต่อต้านอนุมูลอิสระ  (antioxidants)  ซึ่งประกอบไปด้วยวิตามินซี  สาร  anthocyanins,  flavonoids  และ  phenolic  acids  ในปริมาณที่สูงมาก  เมื่อเปรียบเทียบกับผลไม้ชนิดอื่น ๆ  มีรายงานการวิจัยที่พบว่า  anthocyanins  สามารถลดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งประเภท  HT-29  และ  HCT-116  ในคนเราได้  และหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์เนื้องอกได้อย่างชัดเจน  โดยทั่วไประดับและปริมาณของสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่สกัดได้จากผลสตรอเบอรี่จะผันแปรไปตามประเภทของสายพันธุ์  ซึ่งปรากฏจากความเป็นจริงของผลการวิจัยว่า  สตรอเบอรี่พันธุ์ลูกผสม  (F.x ananassa  Duch.)  ที่ได้จากการผสมพันธุ์ใหม่ ๆ  โดยผู้บริโภคนิยมและผลิตเป็นการค้าทั่วโลก  จะมีปริมาณสารต่อต้านอนุมูลอิสระน้อยกว่าสตรอเบอรี่พันธุ์ดั้งเดิมหรือสตรอเบอรี่ดอย  (wild  strawberry)  อย่างชัดเจน  จอกจากนี้สตรอเบอรี่ลูกผสมเช่นพันธุ์  “Allstar”  ก็ยังพบว่ามีปริมาณของสารต่อต้านอนุมูลอิสระน้อยกว่าพันธุ์  “Ovation”  ทั้ง ๆ  ที่เป็นพันธุ์ลูกผสมประเภทเดียวกัน

การวิจัยที่เป็นข้อมูลสำคัญและใหม่ล่าสุดโดย  Wang  และ  Lewer  ในปี  2007  และ  Wang  กับคณะในปีเดียวกันที่ห้องทดลองทางด้านไม้ผลของ  U.S. Department  of  Agriculture  ได้ค้นพบว่า  สารสกัดจากผลสตรอเบอรี่สดพันธุ์ดั้งเดิมประเภท  F.  virginiana  สามารถหยุดยั้งการขยายตัวของของเยื่อบุเซลล์มะเร็งปอด  (A549)  ของมุนษย์ได้มากถึง  34%  ซึ่งมากกว่าสารสกัดจากผลสตรอเบอรี่สายพันธุ์พื้นเมือง  (F. chiloensis)  และพันธุ์ลูกผสมที่เกิดขึ้นใหม่  (F. X ananassa  Duch.)    ที่สามารถหยุดยั้งได้เพียง  26  และ25%  ตามลำดับ  (นัย11-8สำคัญทางสถิติที่ระดับ  P < 0.0001)  นอกจากนี้ยังรายงานว่า  สารสกัดจากผลสตรอเบอรี่ของ  F. virginiana  มีกิจกรรมของเอ็นไซม์ของสารต่อต้านอนุมูลอิสระมากกว่าในส่วนของสตรอเบอรี่ทั้งสองประเภทข้างต้นที่นำมาเปรียบเทียบกันอย่างมีนัยสำคัญ

...รับประทานเคพกูสเบอรี่เพื่อสุขภาพที่ดีแล้ว...  ท่านยังได้ช่วยชาวเขา  ช่วยชาวเรา  ช่วยชาวโลก...

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

อ.นิคม วงค์นันตา
ฝ่ายนวัตกรรมและถ่ายทอดเทคโนโลยี  สำนักวิจัยและส่งเสริมวิชาการการเกษตร  มหาวิทยาลัยแม่โจ้  โทร.0-5387-3863

 

 

11-9

รายงานโดย
ฝ่ายส่งเสริมการเกษตร 
สำนักวิจัยและส่งเสริมวิชาการการเกษตร
มหาวิทยาลัยแม่โจ้  โทร. 053-873938-9